แท็กซี่โกหกหมอฟันจนเสี่ยงโควิด หมอฟันแจงไม่ได้เจอกับตัวเอง
จากกรณีที่ในโลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อความที่โพสต์ลงเฟซบุ๊กของผู้ใช้แฟสบุ๊กท่านหนึ่งซึ่งเป็นคุณหมอฟัน เรื่องของคนขับแท็กซี่ ที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ได้ไปหาหมอฟันเพื่อให้รักษาฟันโยกเป็นหนอง โดยทันตแพทย์ที่ถอนฟัน ได้ซักประวัติเรื่องความเสี่ยง คนไข้ก็ปฏิเสธและปกปิดข้อมูล แต่พอถอนเสร็จคนไข้บอกว่า จริงๆ เพิ่งไปมาสนามมวยลุมพินี เมื่อ 6 มี.ค. เพื่อนที่ไปด้วยกัน ถูกตำรวจตามมากักตัวหมดแล้ว แต่เค้าไม่โดน เลยขับแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารเรื่อยๆ 2-3 วันที่แล้ว มีไข้ไม่หาย กินยาพาราไข้ลด แล้วมาหาหมอฟันคุณหมอจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ให้นำตัวไปตรวจเชื้อโควิด-19 ผลเพาะเชื้อเป็น positve (บวก) ทันตแพทย์กลายเป็นเคส PUI (ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค) เพราะสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยตรง พักงาน กักตัวอยู่บ้าน
อ่านข่าวต่อ : “กรมอนามัย” แนะชะลอทำฟันช่วงนี้ เสี่ยงแพร่ COVID-19 จากน้ำลาย
เรื่องของแท็กซี่โกหกหมอฟัน กลายเป็นข่าวที่เผยแพร่ออกไปในหลายสื่อ เพื่อเตือนสติว่า ไม่ควรปกปิดข้อมูลและประวัติความเสี่ยงของตัวเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นโดยเฉพาะคุณหมอ ต้องเดือดร้อนไปด้วย และที่หลายคนเป็นห่วงคุณหมอฟันเจ้าของโฟสว่าต้องโดนกักตัว
ล่าสุดวันนี้ (31 มี.ค.) คุณหมอฟันเจ้าของโฟสเรื่องราวดังกล่าวก็ออกมาชี้แจงผ่านเฟสบุ๊กว่า เรื่องที่เธอเล่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ แต่เป็นเรื่องที่มีการแชร์กันในวงหมอฟันเพื่อเตือนให้ระมัดระวังเรื่องคนไข้ปกปิดข้อมูล ส่วนคุณหมอเจ้าของเฟสดังกล่าวยังทำงานได้ตามปกติ ไม่ต้องกักตัวเองแต่อย่างใด
เรื่องที่แชร์เรื่องของคนไข้ที่มารับบริการทันตกรรมและปกปิดข้อมูล ทำให้บุคลากรการแพทย์เสี่ยงติดเชื้อ covid-19
ก่อนอื่น ขอออกตัวแก้ไขข้อมูลนิดนึงนะคะ เนื่องจากข่าวที่ออก เจาะจงว่าเราเป็นผู้ที่ประสบเหตุการณ์ แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แชร์มาในกลุ่มไลน์ภายในวงการงานทันตสาธาณสุข เราเห็นว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพื่อให้บุคลากรทางงานทันตกรรมระวังตัวกันให้มาก เนื่องจากงานทันตกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้เป็นอย่างมากจริงๆ และอยากขอร้องให้คนไข้ ได้โปรดอย่าปกปิดข้อมูล เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและไม่เกิดการกระจายเชื้อแก่บุคคลอื่นนะคะ ขอขอบพระคุณ เพื่อนๆที่แชร์ข้อมูลออกไป ตอนนี้มากกว่า 1.6 พัน แชร์ ทำให้เรื่องนี้ได้ออกข่าวกระจายไปยัง สำนักข่าว และเพจข่าวต่างๆอย่างรวดเร็ว
จุดประสงค์ของการแชร์เรื่องนี้ก็เพื่อให้ ผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยงตระหนักมากยิ่งขึ้น ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมให้มาก บุคลากรด้านทันตสาธารณสุขเอง ก็เสี่ยงไม่ใช่น้อย ไม่ควรประมาท ที่สำคัญคือ คนไข้ที่มารับบริการโปรดเข้าใจทันตบุคลากรด้วยว่าเหตุใดช่วงนี้ถึงได้ทำเฉพาะเคสเร่งด่วนหรืออาการหนักจริงๆ จะได้ลดความเสี่ยงต่อการร้องเรียนกันเกิดขึ้น
ขวัญและกำลังใจในการทำงานนั้นสำคัญมากค่ะ เราควรให้กำลังใจซึ่งกันและกันให้มากในเวลาคับขันแบบนี้ เจ้าหน้าที่เข้าใจคนไข้ คนไข้เข้าใจเจ้าหน้าที่ รักกันไว้ค่ะ เราต้องสู้ไปด้วยกัน
ขอบคุณภาพจาก สธ.