เคลียร์ชัด! “เฌอเอม” ขอไม่สละสิทธิ์ ทุกอย่างขอให้กองประกวดตัดสิน
ออกมาเปิดใจเคลียร์ดราม่าร้อนเป็นครั้งแรก สำหรับสาวงามผู้เข้าประกวด “มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2020” “เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์” หลังจากเกิดกระแสอยู่ในโลกโซเชียลอหลายวันกับดราม่าร้อนแรงถึงการทำผิดกฎ ของกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ล่าสุดเธอได้ควงผู้จัดการส่วนตัว “เคน สิทธิชัย เร็ววิโรจน์” และ “ทนายนิด้า” ซึ่งได้เปิดใจถึงประเด็นดังกล่าวว่า
อ่านข่าวต่อ : เคลียร์ปมดราม่า! “เฌอเอม” กับบทสรุปของกองประกวด
“เคน สิทธิชัย” ตำแหน่งในกองก็คือผู้ดูแล สปอนเซอร์ชิป ขายงานได้ในส่วนของดูแลผม โปรดักซ์นี้เข้ามาหลังจากวันแถลงข่าวประมาณเกือบอาทิตย์ คำว่าผู้จัดการผีผลัก ก่อนหน้าที่เราจะมาเป็นผู้จัดการเรามีหน้าที่เป็นคนสอนเต้น ออกกำลังกาย และเราดูแลดาราฟิตเนสที่เขาอยากจะหาผู้จัดการดาราอีกคนนึง เขาก็เลยเรียกเราไป ซึ่งมันก็จู่ๆไปเราเลยได้มาทำ เหมือนกับผีผลัก เราเลยเรียกตัวเองว่า ผู้จัดการผีผลัก ซึ่งเราก็ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดีในหน้าที่นี้
การเซ็นสัญญาเข้าไปทำงานในกองจริงๆไม่มี ในส่วนตัวของเราเข้าไปในฐานะฟรีแลนซ์ การเข้าประชุมก็คือไม่รู้ทั้งหมดมีกี่ครั้งเท่าที่จำได้คือเข้าทั้งหมด 3 ครั้ง ยืนยันไม่มีการเอาข้อมูลมาบอกแน่นอน เรื่องของการดูแลน้องขอชี้แจงแบบนี้ คือเราไม่ได้ดูแลน้อง เราเป็นคนดูคิวและหางานให้น้อง ซึ่งในสถานะนี้เราเองไม่ได้แจ้งกองประกวด ยืนยันไม่มีเจตนาปกปิดกองประกวดแต่อย่างใด
“เฌอเอม” ตอนนั้นไม่มีผู้จัดการและไม่มีคนดูแล ก่อนอื่นที่จะพูดประเด็นนี้จะขอแจ้ง definition ที่มักจะใช้ในวงการบันเทิงซึ่งอันนี้ขอใช้ตามความรู้สึกของ “เอม” นะคะ คือโบรคเกอร์ ,กัลยณมิตร,พี่เลี้ยง,ผู้จัดการ ยืนยันว่า “พี่เคน” เป็นโบรกเกอร์หางาน ไม่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวค่ะ ซึ่งต้องขอโทษจริงๆถึงความผิดพลาดทางการสื่อสารที่พยายามจะอธิบายให้มันรวดเร็วและง่ายเพราะตอนนั้นกำลังจะได้พบกับ “คุณปุ้ย ปิยาภรณ์” แล้ว พวกเรารู้จักกันมา 2 ปีกว่าแล้ว
ส่วนเรื่องที่เอาข้อมูลของทางการประกวดมาบอกนั้นไม่มีจริงๆ เรื่องของคีย์เวิร์สไม่เห็นมาก่อนและยืนยันด้วยชีวิตไม่เคยเห็นคีย์เวิร์ส ซึ่ง “พี่เคน” ก็ไม่ค่อยได้แนะนำอะไร เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นโบรคเกอร์ และอีกอย่างก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้สนิทกัน เพราะจังหวะที่รู้จักกัน “เอม” ส่วนมากจะอยู่ต่างประเทศ เวลากลับไปก็จะหางานให้บ้าง
เรื่องของความสนิมสนมกันในกองอย่างจะบอกว่าอยู่ในกองคุยกับทุกคนด้วยความเป็นมิตรสนุกกับทุกคน ซึ่งสิ่งนี้เราไม่ได้ทำเพื่อคะแนน แล้วที่หัวหินพี่ๆสื่อมวลชนที่อยู่ตรงนี้ครึ่งนึงก็เคยพบ “เอม” มาก่อนขอถามนะคะพี่ๆอยากคุยกับ “เอม” หรือเป็น “เอม” ที่อยากคุยกับพี่ๆและสามารถถามกรรมการทุกคนได้ รวมทั้งผู้ใหญ่ของกองรวมกันแล้ว 17 ท่านเป็นกรรมการผู้ทรงเกียรติว่าเขาส่งคำตอบให้เอมหรือไม่ ขอให้กรรมการเป็นพยานให้ “เอม” ด้วยค่ะ สิทธิพิเศษในกองก็ไม่รับอะไรเลย เราทำทุกๆอย่างเหมือนเพื่อน เริ่มพร้อมเพื่อน ซึ่งสิทธิพิเศษอันนั้นคืออะไร หลังจากที่พบ “พี่ปุ้ย” โพสต์นั้นก็เกิดขึ้นซึ่งพวกเราเองก็ไม่ทันตั้งตัว
เรื่องสละสิทธิ์บอกตรงๆว่าตกใจ เราไม่ได้คุยกันไว้ก่อน เราคุยกันแค่ในเรื่องของสุขภาพไม่อยากล้มในกอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอยากจะเดินทางในรอบไฟนอลพร้อมกับเพื่อนอีก 29 คน เพราะว่าเราเริ่มมาพร้อมกัน สิ่งสำคัญมันไม่ใช่มงกุฎที่อยู่บนหัวของเอม แต่มันคือการที่เราเดินไปถึงเป้าหมาย และมันคือการแสดงความขอบคุณต่อทุกคนทีสนับสนุน แล้วก็ทำให้เรามาอยู่จุดนี้ เพราะเราเดินไปพร้อมกับความรักมากมายจริงๆ (น้ำตาคลอ) เพราะฉะนั้นการสละสิทธิ์หรือไม่มันง่ายมากแค่กระดาษกับคำไม่กี่คำแค่นั้นเอง แต่ “เอม” ไม่ต้องการที่สละสิทธิ์ที่ชอบธรรมที่เราไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย
ที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวที่อยากจะพูด เพราะเกิดการฟังความข้างเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนได้ฟังหมดแล้ว ขอบคุณกองประกวดที่ให้ “เอม” ได้ชี้แจงเป็นที่ยืนยันขอให้กองได้พิจารณาเรื่องการสละสิทธิ์ของเราเองก็แล้วกัน “เอม” มาอยู่ตรงนี้ได้เพราะความชอบของใครหลายๆกัน เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้ต่อได้ ไม่ใช่แค่กอง แต่ประชาชนต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเรื่องบางเรื่องสังคมอยากตัดสิน ก็จะปล่อยให้สังคมได้ตัดสิน
ที่ผ่านมายังไม่รู้เรื่องรายละเอียด ไม่รู้ว้าเพื่อนไปไหน ไม่ทราบว่าเขาทำอะไรกันแล้วเขาก็ไม่อนุญาตให้ “เอม” ได้เข้าไปในกองสิ่งที่เขาติดต่อมาคือเรื่องใบสละสิทธิ์เท่านั้น แต่ความจริงเราเองก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปในกองประกวดและทำมันให้เต็มที่ ถ้าจะให้พูดอะไรสักอย่างก็จะขอไม่สละสิทธิด้วยตัวเอง เพราะมันคือสิ่งสุดท้ายที่ชอบธรรมกับ “เอม” ตอนนี้ และหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้
“เอม” เคารพให้กับเวทีนี้เป็นอย่างมาก นี่ทำให้เอมได้พูดในสิ่งที่อยากพูด เป็นสิ่งทีทีทำให้มีตัวตนในฐานะคนๆนึงด้วยความคิด ทัศนคติจริงๆ ไม่ใช่รูปลักษณ์อะไรเลยเพราะฉะนั้นใครที่ได้มง หรือใครก็ตามเรายินดีด้วยจริงๆ และเรารู้สึกมาตลอดว่าทุกคนสมมง เพราะมีหลายๆคนที่เราเชียร์ ทุกคนที่มาตรงนี้เพราะอยากมีอนาคต ไม่ได้เล็งแค่มงกุฎอย่างเดียว
ส่วนปีหน้า “เอม” ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะตอบตรงๆ ว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วหนูก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็น Someone หนูแค่คิดว่าหนูมาทำให้ดีและดีที่สุด แล้วคืนออดิชั่นที่ชีวิต “เอม” เปลี่ยนไปโดยไม่ทันตั้งตัว มันก็ทำให้เราไม่รู้ว่าเราจะไปทางไหน แล้วเอมขอจบที่ปีนี้ เวทีนี้ ปีที่ “เอม” เป็นตัวของตัวเองจริงๆ เพราะเอมไม่รู้ว่าปีหน้าเอมจะแบกความคาดหวัง หรือเอมจะมีความรู้สึกอยากแข่งขันหรืออยากจะแก้ไขไหม แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เราทำ และเอมอยากจะให้มันเป็นปีเดียวเพราะปีนี้เราใส่ไปหมดแล้วจริงๆ ทั้งความรู้ ความสามารถ ภูมิปัญญาทั้งหมดในชีวิตของ“เอม” (น้ำตาคลอ)
พฤติกรรมในกองไม่น่ารัก “เอม” อยากให้ถามเพื่อนๆของ “เอม” เพราะประเด็นต่อหน้ากล้องอย่างนึง ลับหลังอย่างนึง สิ่งเหล่านี้มันไม่มีพยาน เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยเราทำดีกับใคร เราจำมิตรภาพนั้นได้ อาจจะมีบ้างที่เราดูเหนื่อย ดูระโหย มีบ้างที่เราหลับไปกลางคันหรือเชื่องช้า แต่มันไม่ได้กระทำด้วยความตั้งใจหรือจงใจ “เอม” ทำเท่าที่ไหว ทำจนกว่า “เอม” จะไม่ไหว และนี่คือความจริง ถ้าหากหนูเคยทำอะไรให้ทุกคนหรือคนในกองขุ่นข้องหมองใจ ด้วยความจำเป็นหรือไม่จำเป็น ต้องขอโทษทุกคนจากใจ ณ ที่ตรงนี้ด้วยค่ะ (ยกมือไหว้) เพราะ “เอม” เชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนของ “เอม” คงจะตอบได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเราดีกับเค้าจริงไหม
สำหรับ “ทนายนิด้า” เผอิญว่ามีเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ซึ่งในส่วนนี้เอมไม่ได้มีความรู้ เลยขอพาพี่นิด้ามาชี้แจงในประเด็นต่างๆ
“ทนายนิด้า” จริงๆ เรียกว่าเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายดีกว่าค่ะ เพราะว่าน้องได้เดินเข้ามาปรึกษาว่าเรื่องเกิดมาตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน จนถึงวันนี้ทุกคนก็รอว่าทำไมน้องไม่ออกมาสักที จริงๆ น้องติดต่อมาตั้งแต่แรกเลย น้องบอกว่าไม่กล้าออกมาแถลงข่าว เพราะไม่รู้ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนที่จะไม่เกิดผลกระทบกับอีกฝ่าย เราก็ดูระยะเวลามาตลอดจนถึงวันนี้เราคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องออกมาพูดแล้ว แม้ว่าสิ่งที่พูดอาจจะไปกระทบใครบ้าง แต่ถือเป็นการพูดที่จะปกป้องส่วนได้เสียของตัวเราแล้ว เราได้เข้ามาให้คำปรึกษาในส่วนของตัวพี่เคน พี่เคนไม่ได้เซ็นสัญญาเลยกับทุกฝ่าย กติกาเป็นอย่างไร ไม่เคยนำมาแสดง ชี้แจงให้รับทราบ
ในทางกฎหมายถ้าเรามุ่งเน้นที่จะให้ความสำคัญกับอะไรถ้าเป็นมืออาชีพจะต้องมีลายลักษณ์อักษรที่จะนำมายืนยันได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วพี่เคนเป็นแค่ฟรีแลนซ์ และไม่ได้เข้าประชุมทุกครั้ง ตรงนี้อยากให้ออกมาชี้แจ้งว่า แต่ละการประชุมมีข้อมูลความลับอะไรที่เป็นกังวล แล้วตัวน้องได้รับประโยชน์จากตรงนั้น เพื่อที่เราจะได้แนะนำต่อว่าน้องควรยอมรับไหม แต่เรายังไม่ได้ทราบตรงนั้น และอีกประเด็นนึงคือยังคุมเครือ ว่าใครสถานะอะไรแล้วถูกกล่าวว่าเป็น “มิจฉาชีพ 2020”
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร หรือหมายถึงทั้งคู่ เราค่อนข้างกังวลกับคำนี้เพราะมันหมายความว่าโจร แต่ประเด็นนี้ถ้ามันคือเรื่องที่แย่ที่สุดของประเด็นนี้มันคือการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่การกระทำความผิดอาญาที่มันเลยเถิดถึงการเป็นโจร น้องเลยมาถามว่าหนูออกมาเคลียร์ตัวเองได้หรือยัง เราก็เลยบอกว่าต้องทำแล้วแหละ เพราะแฮชแท็กและสังคมโซเชียลว่าน้องเป็นมิจฉาชีพและโกงแล้ว”