“เปิ้ล-จูน” เผยหลังร้านอาหารเจอพิษโควิด-19 ยันไม่คิดปลดพนักงาน
ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 ทำให้ต้องปิดการนั่งทานที่ร้านเน้นส่งเป็นเดลิเวอรี่แทนแต่ขอยืนยันไม่คิดปลดพนักงานอย่างแน่นอน สำหรับ “เปิ้ล นาคร ศิลาชัย” และ “จูน กษมา ศิลาชัย” ที่ล่าสุดทั้งคู่ก็ได้ออกมาเผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ร้าน Sail To The Moon By Nakorn พระราม 3 ให้ฟังว่า
อ่านข่าวต่อ : “เปิ้ล-จูน” ควักกระเป๋า 10 ล้านบาทเปิดร้านอาหารใหม่
ร้านเปิดได้มา1เดือนกับอีก1อาทิตย์ ซึ่งเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน คิดว่าทุกคนก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง เพราะร้านของเราก็มีพนักงานค่อนข้างจะเยอะ 2ร้านรวมกับร้านคุณทองก็มีพนักงานเกือบ100กว่าคน พอรัฐบาลสั่งว่าให้เปิดได้ถึง21.00น. ก็เลยลองปฏิบัติตามนั้นดู ปรากฏว่าทำได้อยู่2วัน รู้สึกว่าทุกคนกลัวกันหมด เพราะเรามาเฝ้าร้านเอง ลูกค้าก็กลัวเด็กเสิร์ฟ ต่างคนต่างระแวงกัน มีความรู้สึกว่าถึงจะเปิดได้ถึง21.00น. ก็ตาม กับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นก็ทำให้คนกินลดน้อยลง จากประมาณ100% เหลือไม่ถึง10%ที่มานั่ง จากที่พนักงานเยอะก็จะไปลดลงหรือให้เขาหยุดงาน เราก็ทำไม่ได้ ค่าเช่า2ที่ก็เป็นล้าน ค่าใช้จ่ายเยอะ มันเป็นภาวะที่เข้าใจ เพราะทุกคนต้องเจอ เพราะฉะนั้นมาถึงตรงนี้ เราก็มองหน้ากันว่าจะไปต่อกันยังไงดี สุดท้ายก็ส่งเป็น Delivery,Drive thru ให้คนมารับอาหารจากที่ร้านเราไปทานที่บ้าน ก็โอเคนะ
ทั้งนี้ที่อยากปิดร้านชั่วคราวเพราะว่าอยากแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าหากเรายังเปิดอยู่ สมมุติมีคนมากิน แล้วติดโควิด-19ขึ้นมาไทม์ไลน์ว่ามาที่ร้านเรา มันจะหนักกว่านี้ ก็เลยคุยกันว่าปิดเถอะ แล้วกลับไปทำเดลิเวอรี่กันแบบครั้งแรก มันต้องทำได้ คนอื่นเขายังทำได้เลย โดยจะมีคำถามว่าถ้าเราปิดร้านแล้วพนักงานอีกร่วม100คนเราจะทำยังไงก็บอกเขาว่าไม่ต้องกลัวทุกคนจะอยู่กับเราจะรับผิดชอบทุกคนเอง ขอแค่ให้ประหยัด ทำทุกอย่างที่เรามี เตรียมทุกอย่างปัดกวาดร้าน เตรียมให้พร้อมถ้าเมื่อไหร่ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ทุกอย่างกลับมาฟื้นฟูได้เมื่อไหร่ พวกเราจะได้รับเงินเดือนกันเต็มที่เหมือนเดิม แล้วก็รีบเปิดร้านให้กลับมาเหมือนเดิม ตอนนี้เราตั้งเป้าไว้ว่าจะปิดร้านเดือนมกราคมนี้ทั้งเดือน แต่ไม่แน่ถ้าโชคช่วยทุกอย่างดีขึ้น ก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้น ถ้ามันไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องกัดฟันดูแลพวกเขากันต่อไป
รับตอนนี้ที่ได้รับผิดชอบที่ร้านคือเด็กยังอยู่ครบ ก็เข้ามาเช็ดกระจก ทำความสะอาด แล้วก็มีข้าวให้2มื้อ แค่นี้เด็กเขาก็มาช่วยกันเต็มที่รู้สึกเห็นใจเขาอยากจะอยู่กับเรา ก็คิดว่าจะไปทิ้งเขาได้ยังไง คือเห็นแววตาเขาก็รู้เลยว่าเขาลำบากกันจริงๆ ส่วนเรื่องค่าจ้าง ตอนนี้เราดูยอดขายจากเดลิเวอรี่ 2วันมานี้แทบจะไม่มีเลยเพราะว่ายังไม่มีใครรู้ว่าทางเราเปิดเดลิเวอรี่แล้ว และก็ยังไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเราปิดร้านแล้ว มีหลายคนที่เข้ามาที่ร้านก็แจ้งให้เขาทราบว่าเราปิด เพราะฉะนั้นเลยบอกพนักงานว่าพี่ขอลดค่าแรงนิดนึงนะ อย่างน้อยเด็กก็ยังมีรายได้ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด โดยมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้วด้วยพอมีข่าวก็เริ่มคุยกันเริ่มเตรียมตัว พอเขาประกาศก็เริ่มประชุมและรู้สึกช็อก เพราะว่าเร็วเกินไปสำหรับเราที่เพิ่งเริ่มลงทุน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรับให้ได้
ถามว่าท้อไหม บอกเลยว่าไม่ท้อ เพราะเห็นคนอื่นแล้วรู้สึกว่าเขาหนักกว่าเราตอนนี้เหมือนกำลังเจอลมทะเลที่มีคลื่นทำได้แค่ข้ามผ่านมันไปให้ได้จนกว่าพายุจะสงบตอนแรกเคยคิดว่าจะปิดกิจการ ไม่ทำแล้วร้านอาหาร พอไปนอนคิดว่าคนอื่นเขาหันมาทำร้านอาหารกันทั้งๆที่ทำไม่เป็น แล้วเราที่ทำมา10กว่าปี จะหนีทำไม ในเมื่อนี่คืออาชีพที่ถนัด เพราะฉะนั้นต้องสนุกกับมัน และคิดหาทางให้เดลิเวอรี่มีความนิยมมากขึ้น คือคิดทุกวัน พอคิดหาทางออกได้ก็ยังมีความรู้สึกแต่ไม่อยากเครียด เพราะอย่างตัวภรรยาต้องแบกความรักผิดชอบหลายอย่าง ไหนจะเรื่องลูก ก็เลยคิดว่าเอาวะ เดี๋ยวจะต้องผ่านมันไปให้ได้ เพราะถ้าเรามัวแต่เครียดเรื่องนี้ เดี๋ยวเรื่องอื่นมันจะพังไปด้วย
พร้อมเผยธุรกิจของครอบครัวเรามันมีหลายอย่าง ไหนจะธุรกิจความงาม อาหารเสริมที่กำลังคิดโปรเจกต์ออกมาเรื่อยๆ อย่างภรรยาเองต้องไลฟ์ขายของเอง ขายอาหารเสร็จก็ต้องไปไลฟ์ขายของอีก และมีภาพยนตร์ที่วางแผนว่าจะฉายเดือนหน้า ลงทุนไปหลายสิบล้าน มันทำให้เราคิดว่าต้องเลื่อนอีกไหมคือเลื่อนมารอบนึงแล้ว เพราะทั้งหมดมันคือการลงทุน โดยวิธีกำจัดความเครียดก็คืออยู่กับลูก พาลูกไปเที่ยว มันก็เป็นสิ่งนึงที่ทำให้คลายเครียด พอกลับมาถึงก็ต้องกลับมาสั่งงาน แพลนขยายร้านยังมีตลอด ไม่หยุด สิ่งที่เราวางแผนไว้ต่อให้หนักขนาดไหนก็ต้องเดินตามนั้นทุกวัน
ด้านงานภาพยนตร์ที่กำลังเข้าฉายจะเข้าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ แล้วเป็นหนังที่พวกเราปั้นกันมาเป็นปี เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดว่าต้องเลื่อนออกไปอีกสัก1เดือนหรือ2เดือน หรือจะมีฮีโร่ที่กล้าเอาหนังตัวเองเข้าไปฉายแล้ววัดดวงว่าจะมีคนเข้ามาดูไหม ก็ต้องปล่อยให้เขาทำไปก่อน ตอนนี้คือรอดูสถานการณ์อย่างเดียว กับรายรับด้านอื่นก็มีอยู่บ้าง เพราะภรรยาเขาไลฟ์ขายของยังมีของอื่นๆที่วางขายแล้วทุกคนให้การตอบรับดีอยู่ เรื่องขาดทุนต้องบอกว่าร้านอาหารลงทุนก็เป็นสิบล้าน ถามว่าได้คืนทุนตอนนี้ไหม ไม่ได้แน่ๆอยู่แล้ว ก็มีทางเดียวคืออย่าทำให้ขาดทุนในแต่ละเดือน แต่ ณ ตอนนี้เราก็ทิ้งน้องพนักงานไม่ได้จึงจำเป็นต้องมีรายจ่าย และทำเดลิเวอรี่เพื่อพนักงานเลย ยังไงรายรับมันก็ไม่ถึงเราอยู่แล้ว แต่ภาวนาให้มีคนมาสั่งเดลิเวอรี่เยอะๆ เพื่อให้มีเงินไปเลี้ยงพนักงานได้พอ ให้เขาอยู่ให้ได้ภายในเดือนนี้ นี่เป็นสิ่งเราคุยกัน
ก็คิดว่าถ้าไม่มีโควิด ก็อาจจะคืนทุนไม่นาน เพราะว่าคนเยอะ และกำลังไปได้สวย แต่บอกเลยว่าปิดครั้งนี้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ตอนน้ำท่วมเราก็ไปช่วย พอถึงเหตุการณ์แบบนี้เราก็ได้ช่วยคนสัก100คน ถือว่าเราก็ได้มีส่วนร่วมในการช่วยประเทศสักครั้งนึง การวางแผนที่จะแบกรับลูกน้องร่วม100กว่าคนได้ คิดไว้ว่าประมาณ1เดือนน่าจะได้ แต่ถ้า2เดือน ก็อยากให้รัฐบาลช่วยอะไรเรามากกว่านี้
พร้อมขอฝากร้าน Sail to the moon by nakorn พระราม3 และร้านคุณทองบายนาคร ตอนนี้เรามีเดลิเวอรี่แล้ว และก็มีDrive thru สามารถสั่งอาหารที่ร้านแล้วรับกลับไปทานที่บ้านได้ เพราะฉะนั้นเรามีอาหารทั้งซีฟู้ด ก๋วยเตี๋ยวเรือ เนื้อกะทะร้อน โดยเข้าไปดูได้ที่ไอจี sail.to.themoon ก็จะมีเบอร์โทรอยู่ด้วย
Cr : Ig. ple_nakorn