“แพทริค อนันดา” แถลงยันไม่เคยทำร้ายร่างกายแฟนเก่า ลั่นไม่สนับสนุนความรุนแรง
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล หลังมีบุคคลปริศนาออกมาแฉว่า “แพทริค อนันดา” เจ้าของเพลงดัง Lavender, Oasis, จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์ และ วงกลม ทำร้ายร่างกายแฟนเก่าจนต้องเข้าโรงพยาบาล
อ่านต่อ:ต้นสังกัดเคลื่อนไหว “แพทริคอนันดา” ถูกแฉทำร้ายร่างกายแฟน
ล่าสุด “แพทริค” พร้อม “คาล คงขำ” กรรมการผู้จัดการบริษัทวอร์นเนอร์ มิวสิค ได้ออกมาชี้แจงแถลงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า
ยอมเราคบหากันจริง เคยคบหากันโดยที่ไม่เคยปิดบังเลย เราคบหากันในช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นน่าจะประมาณปี 2017 จนถึงปลายปี 2020 เกือบๆ 4 ปีที่เราคบหาดูใจกัน ซึ่งเพื่อนๆ และครอบครัวก็ทราบ แต่ว่าในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาที่เขาพูดถึงอันนี้ก็คือ เป็นระยะที่เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ว่าเราก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน และก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อน มีหลายช่วงมากๆ ที่สลับกันไป เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก รวมถึงมีหลายอย่างที่เกิดขึ้น
ส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดซึ่งก็คือประเด็นการทำร้ายร่างกาย ทั้งคลิปที่เขานำมาลง รวมถึงแคปชั่นว่าผมทำร้ายร่างกาย ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องจริงครับ ในคลิปนั้นเป็นคลิปที่เกิดขึ้นนานแล้ว เป็นคลิปเก่า และ ณ วันนั้น วันที่เขาโพสต์ ผมก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย แต่ผมอยู่สตูดิโอทำเพลง คือมันไม่ใช่เหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ มันไม่ได้เกิดขึ้น ณ เวลาที่เขาลง มันเกิดกันคนละเวลา รวมถึงไม่ได้มีความรุนแรง ไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นในคลิปนั้น หรือว่าในเหตุการณ์นั้น ซึ่งทุกคนน่าจะได้เห็นกันแล้วว่าคลิปนั้นมันมีเพียงแค่ 2 วินาที ซึ่งจริงๆ มันมีเหตุการณ์มากกว่านั้น ที่มันมากกว่า 2 วินาที และผมก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมขอชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในคลิปนั้นละกันนะ ทางฝ่ายเขามาหาผมที่คอนโดและก็อยากจะพูดคุยด้วยในเวลาตอนประมานตี 5 ถึง 6 โมง แต่ผมก็ถามเขาว่าทำไมถึงไม่นัดมาก่อน เพราะผมง่วงนอน รวมถึงมันไม่ใช่เวลาปกติที่ผมตื่น ส่วนที่มีการถ่ายคลิปหรือว่ามีการปัดกล้อง มันเป็นเพราะว่าผมเอากุญแจรถเขามา เหตุการณ์คือผมไปเอากุญแจรถเขามาเพราะว่าผมไม่อยากให้เขาขับรถ ตอนนั้นเขาจะกลับบ้าน แต่ผมบอกเขาว่าผมไม่อยากให้เขาขับรถกลับเอง เพราะเขาอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้อต่อการขับขี่ยานพาหนะ ผมเลยบอกว่าเราขอกุญแจเธอนะ เพราะเราไม่อยากให้เธอขับรถ และเดี๋ยวจะขอโทรหาคุณแม่ให้มารับ จากนั้นถึงจะคืนกุญแจให้ แต่ทีนี้มันก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย ตรงที่เขาไม่ได้อยากให้คุณแม่มารับ หรือว่ามารู้เกี่ยวกับตรงนี้ แต่ผมก็ยืนยันว่าผมจะไม่ให้เขาขับเอง เขาก็เลยไม่พอใจนิดหน่อย มีการทะเลาะกันนิดหน่อย แต่ว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว และสุดท้ายคุณแม่เขาก็มามารับเขากลับ
และนอกจากเหตุการณ์ในคลิปนั้นที่ผมไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาแล้ว ผมก็ยังไม่เคยใช้ความรุนแรง ไปจนถึงทำร้ายร่างกายผู้หญิงหรือว่าใครเลย ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายใครทั้งสิ้น ผมไม่สนับสนุนความรุนแรง ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจโพสต์ ผมก็ต้องเล่าว่า ณ หนึ่งวันก่อนที่เขาจะโพสต์ เราได้มีการพูดคุยกันหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานานมากๆ แล้ว เขาทักมาหาผมเพื่อที่จะบอกว่ามีของของของผมที่ยังอยู่กับเขา และเขาอยากจะส่งคืนให้ เขาเลยมาขอที่อยู่ ซึ่งผมก็พิมพ์ที่อยู่ส่งให้เขา ทีนี้ผมก็เลยถือโอกาสที่จะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเขา ประมาณว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่า เขาเหนื่อย และจากนั้นผมก็บอกว่าผมมีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะพูดกับเขา คือผมอยากให้กำลังใจเขา ผมเลยพูดถึงเรื่องเก่าๆ ผมพูดถึงเรื่องที่เราเคยคบกัน ผมบอกเขาว่า ณ วันที่เราคบกันเธอเป็นคนที่เก่งมากเธอรู้ตัวไหม เพราะว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องเพลงมากๆ เขาเป็นคนที่อินกับเพลงมากๆ และเป็นคนน่ารัก เป็นคนมุ่งมั่น คือมันเป็นการชื่นชมเขาในหลายๆ อย่าง รวมถึงผมพูดด้วยว่า ณ ตอนนั้นเขาเป็นแฟนที่ดี
แต่ทีนี้รีแอคชั่นของเขามันเหมือนกับผมไปพูดให้เขารู้สึกดี พูดให้ความหวังเขา ซึ่งเขาบอกว่า เขายังรู้สึกไม่โอเค ทำไมถึงมาพูดแบบนี้ ซึ่งผมก็รู้สึกผิดตรงนี้แล้วก็ขอโทษเขา ผมขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่รู้ว่าเขายังไม่โอเค แต่ที่ผมพูดเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมชื่นชมเขาจริงๆ และไม่ได้คิดที่จะเล่นกับความรู้สึกของเขา แต่เมื่อเขาก็รู้สึกไม่ดีผมก็เข้าใจได้ เพราะเรื่องของความรู้สึกมันเป็นเรื่องที่พูดยาก ขณะะที่ตัวผมเองก็พยายามขอโทษเขา ผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะให้เขารู้สึกแย่หรืออะไรเลย
คิดว่าเกิดจากเหตุการณ์นี้ใช่ไหมที่ทำให้เขาไม่พอใจและออกมาโพสต์ คือเขาแค่ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ที่ผมพูดอย่างนั้น เหมือนผมไปให้ความหวังเขา แต่ผมเปล่าจริงๆ ผมพยายามอธิบายแล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้าผมไปก้าวก่ายหรือไปทำอะไรให้ผมก็ต้องขอโทษ แล้วเราก็มีการทะเลาะกันนิดหน่อยหลังจากที่ผมพยายามขอโทษเขา คือผมอาจจะผิดตรงที่ผมไม่ได้นึกถึงความรู้สึกเขาครับ
ถามว่าเหมือนเขารู้สึกว่าเราพูดไปพูดให้ความหวังเขา คือเขาเป็นคนที่มีสภาพจิตใจที่เปราะบางนะ เขารักผมมากซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขารู้สึกแย่ ผมมองว่ามันเป็นที่ผมที่ไม่เข้าใจเขามากเท่าที่ควร ซึ่งมันไม่ใช่ครั้งแรกและกันครับที่เคยทำให้เขารู้สึกอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้หลังจากที่เราเลิกกัน คือผมจะเป็นคนที่พูดสิ่งดีๆ กับเขาเสมอแม้ในวันที่เราเลิกกัน แล้วบางทีก็อาจจะพูดเยอะเกินไปด้วย แต่ผมไม่เคยมีความคิดที่จะเล่นกับความรู้สึกเขาเลย
ยืนยันแค่มีปากเสียงกัน แต่ไม่เคยใช้ความรุนแรง บอกเป็นอย่างนั้นเสมอ ผมไม่เคยลงไม้ลงมือ ผมอาจจะเคยเป็นคนที่อารมณ์ร้อน แต่ ณ วันนี้ผมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนแล้ว เวลาทะเลาะกันหรือเวลามีปากเสียงกันผมไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาเลย หรือกับผู้หญิงคนไหน หรือใครก็แล้วแต่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมคิดว่าเขาน่าจะมีเหตุผลของเขา อาจจะด้วยสภาพจิตใจของเขาที่มันไม่ได้แข็งแรงเขาเป็นคนที่มีสภาพจิตใจเปราะบางมากๆ แต่ว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดีเขาเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง เรารู้จักกันมาหลายปีมากๆ มันอาจจะเป็นเพียงแค่อะไรบางอย่างที่ผมพูดแล้วมันไปสะกิดจิตใจเขา ให้เขารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ผมพูด เขาเลยโมโหและโพสต์แบบนั้นออกไป
หลังจากที่เขาโพสต์ผมก็ได้โทรไปหาเขา และเราก็ได้พูดคุยกันประมาณหนึ่งด้วยความใจเย็น ณ.ตอนนั้นผมสับสนมากๆ แล้วก็ไม่ได้คิดด้วยว่าเรื่องราวมันจะมาไกลขนาดนี้ ผมไม่โกรธเขา แต่ผมแค่รู้สึกสับสน และก็เสียใจว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ยืนยันว่า เขาเจ็บมาเยอะแล้วกับการให้ความหวังของผม หลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้วผมก็ขอให้เขาลบ แต่เขาบอกประมาณว่าเดี๋ยวลองดู ประมาณนั้น
โดยช่วงที่คบกันเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง 4 ปีเราอยู่ด้วยกันทุกวัน ซึ่งมันก็เป็นความรักที่ดี แต่ก็ไม่เพอร์เฟค ซึ่งผมก็บอกได้ว่าเขาคือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม แต่ตอนที่เลิกกันเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่ เราจบกันด้วยการทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน ซึ่งผมเป็นคนขอแยกทาง และเขาก็มาง้อผม รวมถึงมีตอนที่เขาไม่ได้ง้อแล้ว แต่ผมไปง้อเขากลับ ง้อให้มากลับมาคุยกัน คือมันเป็นช่วงเวลาที่สับสนมากๆ คือเขามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตผมมากๆ เลยนะ
ถามว่าอยากให้เขาออกมาขอโทษไหม คิดว่าเขาควรจะออกมาชี้แจงว่าเรื่องจริงคืออะไร โอเค เขาอาจจะโมโหผม หรืออาจจะใจร้อนเลยลงรูปหรือคลิปและเขียนแคปชั่นอย่างนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ยอมรับเสียใจคนมองทำร้ายผู้หญิง แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจ เวลาเปิดเข้าไปในทวิตเตอร์และมีคนต่อว่า รวมถึงตีตราว่าผมเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น หลายวันผ่านมาก็ไม่ค่อยได้นอน เพราะผมก็อ่านกระแสหรืออ่านคอมเมนต์ต่างๆ ในทวิตเตอร์ด้วยเหมือนกัน คือด้วยความที่ผมไม่เคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน
พร้อมฝากถึงคนติดตามข่าวว่า ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะสามารถเอาอะไรมายืนยันได้มากกว่าแค่ผมบอกว่าไม่เคยทำร้ายร่างกายใครจริงๆ และระหว่างที่เราคบกัน เราก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด อยู่ในสายตาของเพื่อนๆ ตลอด และไม่เคยมีใครได้เห็นรอยฟกช้ำบนหน้าตาของเขาแน่นอน ผมกล้ายืนยัน