ทนายดังคอมเมนต์กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา… “บอส” ส่อโดนคดีฟอกเงิน
จากกรณี มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนมาก กล่าวหา“ดิไอคอน” ซึ่งเป็นเครือข่ายขายตรงที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ โดยมีดารานักแสดงออกมาแถลงโต้ข่าวพัลวันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่ปรากฎเป็นข่าว ล่าสุดทนาย “สาคร ศิริชัย” ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า“บอส” ส่อโดนคดีฟอกเงิน
อ่านข่าวต่อ: “กันต์ กันตถาวร” ประกาศขอยุติบทบาทการเป็นพิธีกรในทุกรายการจนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน
เขาเผยว่า “จากกรณีที่มีกระแสข่าวการดำเนินคดีกับบริษัทจำหน่ายสินค้าผ่านเครือข่ายออนไลน์ชื่อดังในนาม “ ดิไอคอนกรุ๊ป” ซึ่งมีการเชิญชวนประชาชนให้สมัครเป็นสมาชิกผ่านเครือข่ายและแม่ข่ายเป็นจำนวนหลักพันถึงหลักล้าน แต่เมื่อนำสินค้าไปจำหน่ายหรือใช้แล้วปรากฏว่าสินค้าที่ซื้อมาเป็นสต๊อก “ ขายไม่ได้ ใช้ไม่หมด” จนก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากและเป็นวงกว้าง”
“โดยในการบริหารงาน และการขับเคลื่อนธุรกิจ และการการตลาด ดิไอคอนกรุ๊ป ได้ว่าจ้างดารานักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ตัวท็อปของประเทศไทย เช่น “แซม ยุรนันท์” “กันต์ กันตถาวร” “มิน พีชญา” “บอย ปกรณ์” เป็นต้น มาร่วมทำงานเป็นพรีเซนเตอร์ และหน้าที่อื่นๆตามแต่จะได้รับมอบหมาย โดยในการทำงานเป็นพรีเซนเตอร์ของดาราต่างๆ มีการบรรยายสรรพคุณของสินค้าและธุรกิจเชิญชวนประชาชนให้มาร่วมทำธุรกิจ “ เป็นนักขาย” กับ ดิไอคอนกรุ๊ป”
หากทำสำเร็จ จะสามารถพลิกชีวิตสร้างฐานะเป็น เศรษฐีได้ เนื่องจากดาราที่เป็นพรีเซนเตอร์ เป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความเชื่อถือได้รับความนิยมชมชอบ เป็นผู้ชักชวนจึงทำให้ประชาชนหลงเชื่อสมัครเป็นสมาชิกผ่านแม่ขายที่วางไว้อย่างเป็นระบบ แต่ต่อมาเมื่อสินค้าไม่สามารถขายได้ตามคำโฆษณาทำให้เกิดความเสียหายบังบางคนเป็นโรคซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตายจากข่าวที่มีการนำเสนอ ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโทรทัศน์จนนำไปสู่การร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป
และดารานักแสดงที่เป็นพรีเซนเตอร์ทั้งหลายซึ่งถูกเรียกขานนามว่า “บอส” ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองปราบปราม
ต่อมามีดาราที่เป็นพรีเซนเตอร์อย่างน้อยสามคนประกอบด้วย “บอย ปกรณ์” “มีน พีชญา” และ “กันต์ กันตถาวร” ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยกล่าวอ้าง ในลักษณะเดียวกันว่าตนเองเป็นเพียงรับว่าจ้างเป็นพรีเซนเตอร์ให้โฆษณาสินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของดิไอคอนกรุ๊ปเท่านั้น มิใช่ “บอส” โดยไม่มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของการลงทุนหรือการออกนโยบายต่างๆและมิใช่เป็นพนักงานของบริษัท โดยการแสดงสัญญาว่าจ้างให้สื่อมวลชนดู และปัจจุบันได้มีการยกเลิกสัญญาและตัดขาดจาก “ ดิไอคอนกรุ๊ป” แล้ว โดยได้กราบขอโทษประชาชนและพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
การออกมาแถลงข่าวของดาราผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นการกระทำภายหลังจากที่การกระทำที่อ้างว่าเป็นการกระทำความผิดได้สำเร็จแล้วดังนั้นการจะพิจารณาว่าเราดาราหรือบอสทั้งหลายจะมีความผิดฐานใดจะพิจารณาจากการกระทำที่ผ่านมาว่าจะมีมีความผิดในฐานะตัวการหรือในฐานะผู้ สนับสนุนโดยดูจากคลิปต่างๆที่นำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ โดยพนักงานสอบสวนและศาลมิได้ดูแต่เพียงสัญญาว่าจ้างแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะดูจากพฤติกรรมการกระทำความผิดต่างๆ ผู้ที่ถูกกล่าวหาจะอ้างแก้ตัวอย่างไรก็ได้ซึ่งกรณีดังกล่าวหลักกฏหมายระบุว่า “ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
ส่วนความผิดที่ถูกกล่าวหามีทั้งความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตามพระราชกำหนดกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งแล้วแต่พฤติกรรมการกระทำความผิดของแต่ละบุคคล ถ้าหากความผิดของดิไอคอนกรุ๊ปและบรรดาบอสต่างๆ เข้าข่ายองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดตามพระราชกำหนดกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน (กฎหมายแชร์ลูกโซ่) ก็จะเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. 2542 ซึ่งการถูกดำเนินคดีฟอกเงินจะนำไปสู่การยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเพื่อนำมาคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดี
ดังนั้นกรณีดังกล่าวนี้เป็นคดีสำคัญให้ประชาชนจับตาการดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรมอย่างใกล้ชิด อย่าให้สื่อมวลชนทำงานแต่เพียงลำพัง คนทำผิดต้องได้รับโทษ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมได้รับการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม
และสิ่งที่ดาราบิ๊กบอสทั้งหลายแสดงออกในขณะนี้น่าจะต้องการลดกระแสการพิพากษาของสังคมหรือสาธารณชน ซึ่งรุนแรงและรวดเร็วกว่าการพิพากษาโดยศาล