เมื่อความทรงจำเลือนหายไป จิตวิญญาณจะยังคงอยู่หรือไม่ ทำไมมนุษย์ซึ่งยังมีลมหายใจ จึงเป็นเสมือนคน ที่ได้ตายจากไปแล้ว เรื่องราวของหญิงชราสองคนพี่น้อง ในรายการคนค้นคน ค่ำคืน อังคารที่ 15 กุมภาพันธุ์นี้ คือคำตอบของคำถาม “เขาตายไปตั้งนานแล้ว ที่เห็นยังหายใจอยู่นี่ คือ สังขารของเขา แต่..วิญญาณข้างในไม่ใช่ เขาไม่มีความเป็นจรัสศรีคนเดิมเหลืออยู่เลย “ ป้า นวลศรี อนันตกูล วัยใกล้ 70 พูดถึง ป้าจรัสศรี พี่สาว ที่มีอายุมากกว่าเธอ 2 ปี หญิงชรา ที่ไม่เหลือความทรงจำใด ๆ อยู่ในสมอง ไม่รับรู้สิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความยินดีหรือความ โศกเศร้า มานานเกือบ 15 ปี แล้ว จรัสศรีและนวลศรี เป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จากบ้านเกิดที่ราชบุรี เข้ามาเรียนหนังสือและอยู่ด้วยกัน ในกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ชั้นมัธยม ป้านวลศรี เรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่พี่สาว ป้าจรัสศรี จบจาก คณะกสิกรรมและสัตวบาล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาปฐพีวิทยา ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แม้จะเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แต่นิสัยกลับต่างกันสุดขั้ว ขณะที่ป้านวลศรี ชอบอยู่ลำพัง กับโลกส่วนตัว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้คน ป้าจรัสศรี คือคนที่ใส่ใจในความเป็นไปของคนรอบตัว ไม่ละเลยในความทุกข์ของคนรอบข้าง มีเมตตาสูง และชอบช่วยเหลือผู้คน ไม่เพียงเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แต่เธอยังเผื่อแผ่แบ่งปัน ไปถึงเพื่อนร่วมโลกที่ตกทุกข์ได้ยาก อย่างสุนัขจรจัดที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่เพียงให้อาหาร ให้น้ำ แต่ยังเก็บมาเลี้ยงมารักษา ขณะที่ป้านวลศรีบอกว่าตัวเองเป็นคนสำรวย ชนิดที่ไม่เคยเดินตลาดซื้อกับข้าว ไม่หยิบจับเนื้อสัตว์ดิบ ไม่เข้าใกล้อะไรที่สกปรก การกินการอยู่ในบ้านทุกอย่าง จึงฝากไว้กับ ป้าจรัสศรี ซึ่งน้องเล่า ว่า เป็นคนที่เก่งไปเสียทุกเรื่องมาตั้งแต่เด็ก “ จรัสเขาเป็นคนสวยและเก่ง เก่งทุกเรื่อง เก่งผิดปกติ เรียนเก่ง ทำงานเก่ง ขับรถเก่ง แถมยังซ่อมเป็นด้วย ทั้งที่เป็นงานผู้ชาย กับข้าวทั้งคาวทั้งหวานไม่มีใครเทียบเขา เขาเก่งมาก ทำอะไรต้องทำให้ได้ดี เขาทำเค้กเก่งมาก ไม่ใช่สักแต่ว่า just a cake อย่างนี้นะ ทำแบบอร่อยมาก กุหลาบที่เขาบีบแต่งหน้าเค้ก เป็นช่อชั้น สวยมาก ๆ บางคนบอกว่า เค้กของจรัส อร่อยกว่าเค้กเอราวัณ ที่เขาว่าอร่อย หนักหนา “ ป้านวลศรีเล่าถึงพี่สาว เมื่อวันหนึ่ง พี่สาวของเธอเริ่มมีความผิดปกติ ก่อนเกษียณอายุราชการเพียงสองปี เธอจึงไม่เคยแม้แต่จะเฉลียวสักนิดว่า พี่สาวคนเก่งจะเดินทางมาถึงจุดที่ไม่เหลือ แม้กระทั่งวิญญาณ และความป่วยไข้นั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิต เธอซึ่งเป็นน้องสาว ไปตลอดกาล จากจุดเริ่มต้นแค่เพียงการลืมของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ขับรถชนโน่นนี่ โดยตอบไม่ได้ว่า ไปชนอะไรมา ไปจนกระทั่งถึงการลืมของมีค่า ลืมเงินจำนวนมากไว้ในลิ้นชัก ลืมทางกลับบ้าน ลืมการขับรถซึ่งเป็นเรื่องอัตโนมัติ ลืมบ้านของตัวเอง เมื่อย่างเข้าปีที่ 5 ก็เริ่มลืมภาษา เขียนไม่ได้ ออกเสียงไม่ถูก ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และใช้อวัยวะไม่เป็น ไม่รู้ว่าตาต้องใช้มอง กินข้าวเองไม่ได้ ต้องป้อนและสั่งให้เคี้ยว แยกแยะไม่ได้ว่าอย่างไหนควรเคี้ยว หรือควรกลืน เธอจำตัวเองไม่ได้ จำน้องสาวไม่ได้ จำใครในโลกนี้ไม่ได้ เหลือสัญชาติญาณ ความเป็นมนุษย์เพียงแค่ ลมหายใจ และการกิน ขับถ่าย หลับนอน “ ตอนที่ความจำเขายังไม่ดับสนิท เขาร้องให้ว่าทำไมฉันถึงเป็นอย่างนี้ ป้าบอกเขาว่า เธอไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ ชั้นจะไม่ทิ้งเธอ” ความป่วยไข้ของพี่สาว ได้เปลี่ยนน้องสาวให้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง เธอได้เห็นถึงกฎที่ว่าด้วย อนิจจัง ความไม่เที่ยงชองชีวิต จากคนที่ไม่เคยใส่ใจใครมากกว่าตัวเอง เธอทุ่มเทเวลาที่มีทั้งชีวิต เพื่อดูแลสังขาร ที่ไม่มีวิญญาณของพี่สาว ใส่วิญญาณความเป็นมนุษย์ให้เท่าที่เธอจะสามารถทำได้ ใส่ใจที่จะแบ่งปันทั้งตัวตนของตนเอง เงินทองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ดูแลหมา แมว สัตว์ร่วมโลกแทนพี่สาว จากผู้หญิงสำรวยไม่หยิบจับแม้กระทั่งกระโถนของตัวเอง วันนี้เธอล้างอุจจาระ ปัสสาวะ ให้พี่สาวได้ โดยไม่รู้สึกรังเกียจแม้สักนิด “ ป้าเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะอัตตาของตนเอง ความป่วยไข้ของเขาสอนธรรมะให้ป้า คนเราก็แค่นี้ จากเคยเก่งแสนเก่ง วันหนึ่ง จะกินข้าว ขับถ่ายยังต้องรอคนอื่นให้ช่วย มันไม่มีอะไรเที่ยงจริงๆ ” ในวันที่อายุ 70 ปี ป้านวลศรีปล่อยวางความฝันทุกอย่างของเธอลง และทำหน้าที่ดูแลสังขารของพี่สาวซึ่งจำเธอไม่ได้มาหลายปีแล้ว ทุกเช้าที่ลืมตาตื่น เธอจะคิดถึงสังขารของพี่ก่อนสังขารตัวเอง เธอมีเพียงหนึ่งวิญญาณ แต่ต้องดูแล สองสังขาร เพราะ ณ วันนี้วิญญาณของพี่ กับของเธอ ได้กลายเป็นวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ติดตามอีกมิติหนึ่งของความรัก กับเรื่องราวความผูกพัน ของหญิงชราสองพี่น้อง ได้ในเดือนแห่งความรัก คนค้นฅน อังคารที่ 15 ก.พ. นี้ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ♦