“เพชร” เปิดหมดเปลือก สาเหตุตัดสินใจเลิก “พิงกี้”
เรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่ให้สื่อตามกันมาอย่างต่อเนื่องสำหรับนางเอกสาวตาคม “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” ที่มีข่าวลือออกมาว่าได้เลิกรากับสามีไฮโซหนุ่มนักธุรกิจ “เพชร อิทธิ ชวลิตธำรง” โดยหลังจากนั้นสาว “พิ้งกี้” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าได้เลิกรากับหนุ่ม “เพชร” แล้วจริง ซึ่งเธอเองก็ยังดูงงกับความสัมพันธ์ที่มีกับฝ่ายชาย ล่าสุดทาง “ไทยรัฐออนไลน์” ได้สัมภาษณ์ฝ่ายผู้ชาย โดยเขาเผยว่า
พิ้งกี้ให้สัมภาษณ์ว่าทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พี่เพชรจะไปง้อ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ง้อ น้องพูดแบบนี้ จะมีไปง้อหรือเปล่า?
“มันต้องมองว่าเราทะเลาะกันเพราะอะไร ทุกครั้งที่ทะเลาะกันผมถูกหรือเค้าถูก ผมต้องเป็นคนไปง้อ ครั้งนี้ก็รู้สึกว่า ถ้าจะไปด้วยกันข้างหน้า ถ้าเป็นผมคนเดียวมันก็คงไม่ใช่”
สภาพจิตใจเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่เลิกกันมา เพราะพิ้งกี้บอกว่าก็ยังงงๆ กันอยู่ในช่วงที่เลิกกัน?
“เอาตรงๆ นะครับ ผมคิดว่าถ้าเขามีความสุขที่จะทำอะไรตรงนั้น ก็ควรปล่อยให้เขามีความสุข การที่มีคนเข้าใจผิดว่าผมไม่ให้เขาทำงาน มันไม่ใช่ คือเป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดมา 3 ปีกว่าแล้ว และผมก็ขี้เกียจอธิบายว่าก่อนแต่งงานกันเราพูดอะไรกันไว้ เขาขออะไรผมไว้ แต่พอตอนหลังเขาอยากจะทำงาน ผมก็มองว่า คำพูดที่เคยให้ไว้กับผม มันก็ไม่ควรจะมีหรือเปล่า ไม่ต้องมีผมก็ได้ ถ้าอยากจะไปทำงานก็ไป”
ไม่เคยห้ามพิ้งกี้ไม่ให้ทำงาน?
“ไม่เคยครับ อย่างนี้นะ หลังๆ ก็มีคนมาพูดเรื่องอยากให้น้องกลับไปทำงานในวงการบันเทิง ผมก็ยอมนะ แต่ก็ขอว่าอย่าทิ้งงานหลัก เพราะมันคือชีวิตของเราทั้งชีวิต สมมติว่า ถ้าผมแต่งงานกับนักข่าว แต่ผมเป็นคนทำธุรกิจนะ นักข่าวกับนักธุรกิจมันก็แทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน แล้วเขาก็บอกว่าจะเลิกทำงานเป็นนักข่าว มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะก็อิ่มกับการเป็นนักข่าวแล้ว ซึ่งการที่เขายอมขนาดนี้ ผมก็ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยนกลับไปพอสมควร ถ้าคุณไม่ได้เสียสละอะไรให้ผม ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องคืนอะไรไปให้คุณตั้งเยอะแยะเหมือนกัน
เขาก็ใช้คำว่า เบื่อแล้ว พอแล้ว อิ่มตัวแล้ว ไม่อยากทำแล้ว ทั้งตัวนักข่าวและแม่นักข่าวที่พูดกับผมแบบนี้"
พิ้งกี้บอกว่าไม่ถนัดเรื่องธุรกิจ รู้สึกกดดัน?
“ผมจะสอนเขา เพราะไม่เคยมีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ผมก็สอนงานน้องเขานะ ให้เขาลองทำ ให้เรียนรู้งานไป แต่พอทำๆ ไปก็อึดอัด ไม่ถนัด ผมก็บอกว่าไม่มีใครเกิดมาเดินได้แต่เกิด ก็ต้องมีคนคอยประคอง หัดไป แต่คนรอบๆ เขาก็เสียประโยชน์เยอะ ไม่ว่าจะเป็นช่างหน้าช่างผม”
ณ วันนี้ยุติความสัมพันธ์ไม่คิดจะกลับไปเคลียร์หรืออะไรอีกแล้ว?
“คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ตอนที่น้องเขาไม่ได้แต่งงานเขาก็มีความฝันอยากแต่งงาน มีครอบครัว แต่พอวันนึงเขามีแล้วรักษามันไว้ไหม แต่ถ้าให้ผมต้องมานั่งรักษาอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็อยู่คนเดียวเป็นเหมือนกัน เพราะมีอีกหลายคนที่อยากจะเดินเข้ามาและร่วมสร้างอะไรกับผม ในขณะเดียวกันผมเห็นว่า น้องเขามีความสุข เห็นแววตาที่เขานั่งให้คนสัมภาษณ์เรื่องชีวิตของเขา ผมอยากถามว่าชีวิตคนปกติมันอยากจะมีอะไรกันแน่ อยากมีเรื่องราว หรืออยากมีความสงบ อยากมีความรักหรืออยากให้คนใกล้ๆ ตัวรักและยอมรับ หรือให้คนไกลๆ ตัวใครไม่รู้มากดไลค์กดแชร์ กดคอมเมนต์ วิธีการคิดอาจไม่เหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะไปจูนตรงไหน"
พยายามปรับกันมาตลอด 3 ปีแล้ว? “อย่าใช้คำว่าปรับได้มั้ย ใช้คำว่าผมนั่งดูการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วกัน
"ผมให้เงินบ้านเขาเดือนละเท่าไร คนบ้านเขาก็น่าจะรู้ ตั้งแต่ต้นปี 59 มีข่าวว่าให้เดือนละ 5 หมื่น มีสัมภาษณ์แม่ ผมก็ไม่เข้าใจให้ 5 เท่า 7 เท่า 10 เท่า ก็พูดได้ แต่ทำไมต้องพูดให้คลุมเครือทำให้บ้านเขาดูไม่พอกิน พูดตรงๆ นะ มันไม่ใช่หน้าที่ผม แต่ผมก็ทำให้หลายเท่า เพราะผมมองว่ามันคือครอบครัว จะมาพูดให้คนเกลียดผมทำไม"
พอเลิกกันครอบครัวของพี่เพชรอยากให้กลับไปคืนดีกันมั้ย?
“ต้องบอกก่อนว่าผมแต่งงานมาแล้ว 1 ครั้ง การแต่งงานครั้งที่แล้ว มันใหญ่กว่าครั้งนี้เยอะ หมายถึงการจัดงานแต่งงานนะ พอครั้งที่ 2 พ่อแม่ผมก็บอกแค่ว่า คำว่าครอบครัวถ้าใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าต่างคนต่างอยากทำอะไรมันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าคน 2 คนคิดไม่เหมือนกัน หรือคิดว่า ถ้าเราต้องทิ้งอะไรเพื่อมาอยู่กับเธอ อีกคนเขาก็ต้องทิ้งอีกอย่างมาอยู่ด้วยหรือเปล่า ซึ่งผมก็ต้องทิ้งอะไรบางอย่างมาอยู่กับเขาเหมือนกันนะ
ผมพูดตรงๆ กับเขาต้องเคลียร์เรื่องอะไร ไม่มี ไม่เคลียร์ แต่ผมให้ข้อคิดเขาด้วยซ้ำ ถามว่าชีวิตของเราจะเอายังไง การที่ทำตัวไม่พอใจก็กลับบ้าน คนอื่นต้องมาง้อ มันสมควรมั้ย ถึงวันนึงมันก็ต้องหยุดหรือเปล่า
ครั้งแรกบอกจะออกจากงาน แต่ต่อมาก็ขอกลับไปทำ ต่อมาก็บอกว่าต้องออกไปทำงานนิดหน่อยนะ แต่ไม่หนักเท่าเมื่อก่อน มันก็ขยับเข้ามาเรื่อยๆ มันก็จะต้องวนเข้ามาที่จุดเดิมที่เคยทำ แล้วก่อนแต่งงานที่บอกว่าไม่ทำแล้ว แต่มีภาระอยู่ ภาระทั้งหมดผมก็จัดการให้หมดแล้ว แล้วทำไมทำกับผมอย่างนี้
และผมถามจริงๆ เถอะว่า ชีวิตเขาอยากจะมีครอบครัวใช่ไหม อยากจะมีคนที่รักใช่ไหม แล้วถามว่าความรู้สึกของคนที่รักเคยเห็นไหม มีไหม หรือมีแค่ว่ากะเทยแต่งหน้าหรือกะเทยที่ชอบเอางานห่วยๆ มาให้ 3 หมื่น 5 หมื่น คุณเห็นเงินตรงนั้น แล้วความรู้สึกผมมันราคา 3 หมื่น 5 หมื่นบาทเหรอ ผมก็รู้สึกเหมือนกัน
ตั้งแต่วันที่มีเรื่องยังไม่ได้คุยกันเลยใช่มั้ย?
"แค่การกระทำมันก็จบแล้วไง เหมือนกับตอนที่ผมให้สัมภาษณ์ตอนแต่งงานว่ามีอะไรจะสัญญามั้ย ผมก็บอกว่าไม่ต้องสัญญา เพราะการกระทำมันพูดดังกว่าคำพูด"
ความรักครั้งต่อไปจะกล้ามีความรักกับคนในวงการบันเทิงมั้ย?
“กล้า เพราะคนในวงการผมมั่นใจ ถ้ามีคนในวงการ 100 มีไม่เกิน 3 คนที่ผมจะต้องแต่งงานแล้วเอาเงินไปเซ่นสังเวยบ้านเขา และข้อที่ 2 ถ้าคนในวงการมีครอบครัวนะ เขาจะสรรเสริญและประคับประคองให้มันอยู่รอด ไม่ใช่เอาลูกไปหาเงินอย่างเดียวนะ อย่าเหมารวมว่าคนทั้งวงการจะเป็นอย่างนี้ และผมก็ทนอยู่กับความไม่ปกติอย่างนี้มา 3 ปีกว่าแล้ว ถ้าเป็นการค้าผมขาดทุนเละเลย (หัวเราะ) ผมพูดตรงๆ นะ ผมสงสารน้องเขา เพราะว่าตอนจบผมมองไปไกลๆ น้องเขาจะไม่เหลืออะไรเลย คนรอบๆ เขาเอาไปหมด เพราะผมไม่สามารถจะช่วยอะไรเขาได้
เวลาผมระลึกถึงผู้หญิงคนนี้ มันไม่ได้มีความรักนะ มันมีแต่ความเป็นห่วง แต่มือมันล้วงไม่ถึง เป็นห่วงในที่นี้ไม่ใช่จะเอาเงินไปให้นะ (หัวเราะ) ในมุมของคนอายุ 40 กว่าปี ถ้าดำเนินชีวิตแบบนี้ตอนจบจะเหลืออะไร
ก่อนจะเลิกกัน 2 เดือน พ่อเขาต้องผ่าตัด โรงพยาบาลแห่งนึงบอก 7 ล้าน อีกแห่งนึงบอก 5 ล้าน ผมให้เอาออกมาแล้วพาไปรักษาโรงพยาบาลนึงที่มีอาจารย์หมอที่ดีที่สุดของเมืองไทย ผมก็ออกให้ทุกบาทเลย เพราะผมทำให้ด้วยใจ มองว่าเป็นครอบครัวด้วยกัน
ต่อจากนี้ผมไม่เคลียร์แล้ว เพราะเราคุยกันแล้ว ถ้าจะอยู่ด้วยกันต้องทำอะไรบ้าง ผมต้องการให้เขาเปลี่ยนแปลงเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ พอถามกลับ ก็ตอบกลับมาว่าเหมือนเดิม ต้องกลับบ้าน แล้วเก็บของกลับบ้าน ผมก็บอกว่าอย่าเพิ่ง ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นนะ ออกแล้วออกเลย เพราะว่าผมไม่ชอบใจ มันจะอยู่กันด้วยเหตุผลได้มั้ย ผมก็มีความรู้สึก เวลาทำอะไรลับหลัง หรือไม่สนใจความรู้สึกผม ผมจะรู้สึกอะไรบ้างเขาเคยคิดถึงบ้างมั้ย”