เจาะลึกชีวิต “หมอเน๋ง” ที่บางเรื่องแฟนคลับยังไม่รู้
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มมากความสามารถสำหรับ “เน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล” ที่นอกจากงานในวงการแล้วนั้น เจ้าตัวยังเป็นสัตวแพทย์อีกด้วย โดยวันนี้ทาง “ดาราเดลี่” มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่ม “เน๋ง” ไม่พลาดถามถึงจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง และเรื่องการใช้ชีวิตของเขา โดยเขาเผยว่า
อ่านข่าวต่อ : ลงพื้นที่กับ “หมอเน๋ง ศรัณย์” สัตวแพทย์ที่หล่อที่สุดตอนนี้
Q : จุดเริ่มต้นในวงการของ “เน๋ง”
A : ถ้าสมัยเรียนมหา’ลัย “เน๋ง” มีโอกาสไปเป็นดรัมเมเยอร์ของมหาวิทยาลัย งานฟุตบอลประเพณี ช่วงนั้นก็มีคนเห็นเรามากขึ้นตามโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ หรือว่าแบบในเพจของทางจุฬาฯ หรือทางธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นก็มีคนรู้จักมากขึ้น ได้เริ่มทำงานบ้าง มีเดินแบบบ้าง มีไปถ่ายแบบบ้าง แต่ช่วงนั้นยังไม่ได้ทำงานเป็นจริงเป็นจังในวงการ เพราะว่าด้วยความที่เราเรียนสัตวแพทย์ด้วย เราเรียนค่อนข้างหนัก ก็รู้สึกว่าขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อน ก็ทำงานรับเป็นจ็อบๆ ไป ไม่ได้จริงจังมาก และพอตอนใกล้ๆ เรียนจบก็มีโอกาส ผู้ใหญ่ที่ช่อง one ให้ลองมาแคสต์ดู มาแคสติ้งเป็นนักแสดงใหม่ของช่อง one New Gen มาแคสติ้งตอนนั้นก็ไม่ได้อะไร รู้สึกว่าเราจะเรียนจบแล้ว เดี๋ยวเราก็ไปทำงานสัตวแพทย์ และอันนี้เหมือนเป็นการลองดู หาประสบการณ์ใหม่ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ไปแคสต์ปุ๊บมันได้ขึ้นมา ก็เป็น New Gen ช่อง one จุดเริ่มต้นคือตรงนั้น ทุกวันนี้ก็เป็นนักแสดง
Q : การเป็นสัตวแพทย์?
A : ใช่ มันคนละอย่างกันเลย เพราะว่าคืออันนี้มันก็ใช้ความรู้สึกส่วนใหญ่ การแสดงก็ใช้ความรู้สึก แต่ถ้าสัตวแพทย์มันก็จะเป็นสายตรรกะนิดหนึ่ง ก็ค่อนข้างยากนะกับการเปลี่ยนวิถีชีวิต จากวิถีชีวิตเราค่อนข้างสตริคท์แบบว่า เราต้องอ่านหนังสือ เรียน ไม่ค่อยยุ่งกับใคร ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น วันๆ ก็อยู่กับหมากับแมว คุยกับเจ้าของ นั่งวิเคราะห์โน่นวิเคราะห์นี่ แต่การแสดงต้องสื่อสารกับคนมากขึ้น ทำงานเป็นทีมมากขึ้น แต่ก่อนทำงานไม่ต้องใช้คนเยอะ ทำงานคนเดียวกับผู้ช่วย แต่นี่ต้องมีผู้กำกับฯ มีทีมงาน ต้องสื่อสารกันหมด ทำให้เรารู้สึกโอเพน เราก็เหมือนมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น อะไรอย่างนี้ครับ
Q : ปรับตัวอย่างไรบ้างจากสัตวแพทย์มาเป็นนักแสดง
A : จริงๆ ช่วงแรกๆ ก็ยาก เราก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้แล้วเราจะเก่งเลย เราจะสามารถปรับตัวได้เลย ก็ค่อยๆ ปรับ ทุกคนก็ช่วยเรา พี่ๆ ทีมงาน พี่ดูแล พี่ๆ ที่ช่อง one ผู้ใหญ่ ก็เข้าใจว่าเนเจอร์เราเป็นแบบนี้ ก็ช่วยๆ ปรับ ช่วยคุยกับน้องมันหน่อย น้องไม่ค่อยกล้า เขาก็ชวนคุย สุดท้ายก็ทำให้เรากล้าคุยกับเขามากขึ้น ก็ดีขึ้น ค่อยๆ ปรับตัวไปได้
Q : กดดันหรือเปล่ากับสิ่งที่เป็นอยู่?
A : ก็ยากครับ มันกดดันเพราะว่ามันไม่ใช่ศาสตร์ที่เราถนัดมาตั้งแต่แรก เราก็เหมือนมาเรียนรู้ใหม่ กลายเป็นเบบี๋ของวงการบันเทิง เราก็กดดันตัวเองนะ แบบว่าอยากทำให้ได้ อะไรที่ตัดสินใจจะทำแล้วอะไรอย่างนี้ ก็พยายามทำ ไปเรียน ฝึกฝนตัวเอง อ่านบทอยู่บ้านบ้าง ทุกอย่างก็ผ่านมาได้เรื่อยๆ
Q : วิธีรับมือกับความกดดัน
A : วิธีจัดการเหรอครับ “เน๋ง” ว่า คือ “เน๋ง” จะหายจากความกดดันนั้นได้ ต่อเมื่อรู้สึกว่า “เน๋ง” ทำมันได้อะไรแบบนี้ ช่วงที่จะเตรียมตัวเราก็กดดันแหละ ก็พยายามทำให้มันได้ พยายามเวิร์คกับมัน แต่พอเราไปเล่นแล้วผลลัพท์ที่ออกมาก็โอเคกับมาตรฐานที่เราตั้งใจ มันก็จะหายกังวลไปเอง
Q : ครอบครัวมีความเห็นอย่างไรบ้างกับการที่เรามาเป็นนักแสดง
A : จริงๆ “เน๋ง” ไม่ได้เขยิบแบบทั้งตัวมาเป็นนักแสดง “เน๋ง” ยังแบ่งเวลาอยู่ 3 วันถ่ายละครนะ 4 วันเข้าเวรเป็นสัตวแพทย์อยู่ และก็ยังทำงานสัตวแพทย์ มีเปิดคลินิกตัวเองด้วย มีคลินิกที่บ้านด้วย ช่วยแม่ดูแล และก็มีเข้าเวรที่โรงพยาบาลเอกชนด้วย รู้สึกว่าที่บ้านก็โอเคได้ เพราะเขารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำให้ชีวิต-หน้าที่การงานบกพร่อง เราก็ดูแลที่บ้านได้ ดูแลตัวเองได้ มันไม่ได้เดือดร้อนใคร ที่บ้านก็โอเค ไม่ได้ว่า
Q : ถ้าให้เลือกระหว่างสัตวแพทย์กับนักแสดง?
A : ถ้าเป็นตอนนี้ “เน๋ง” ก็ไม่ค่อยอยากเลือกอะไรสักทาง เพราะว่าพอ ถ้าเป็นแต่ก่อนจะเลือกเป็นสัตวแพทย์เหมือนเดิม แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าพอมาทำงานแสดงเราก็รู้สึกว่าสนุกดี มันแปลกใหม่สำหรับเรา เพราะว่าได้ทำอะไรที่ชีวิตจริงก็คิดว่าจะไม่ได้ทำแน่ๆ อย่างเช่นที่เราไปเล่น “ภาตุฆาต” ก็ได้นั่งบนเครื่องบินรบบ้าง ไปอยู่ในค่ายทหาร ไปขับเครื่องบิน หรือว่าจะไปกระโดดหอบ้าง ฝึกใส่ชุด เราก็รู้สึกเอ็นจอยกับมัน ก็เลยชอบในมุมนี้ของการเป็นนักแสดง รู้สึกว่าอยากทำทั้ง 2 อย่างเลย
Q : ทำไมถึงเลือกที่จะเป็นสัตวแพทย์?
A : คือ “เน๋ง” อะย้อนไปตอนเด็กๆ คุณพ่อเน๋งเป็นสัตวแพทย์อยู่แล้ว ก็เติบโตมาในคลินิกคุณพ่อเนี่ยแหละ หลังเลิกเรียนก็จะมาอยู่ที่คลินิกของพ่อก่อนกลับบ้าน คุณพ่อก็จะทำงาน ผ่าตัดบ้างอะไรบ้าง พอเรามีโอกาสซึมซับประสบการณ์จากคุณพ่อ ดูคุณพ่อทำงาน จำได้เลยว่ามีหมาตัวหนึ่งสภาพแย่ ตอนแรกที่มา คุณพ่อรักษาจนมันหายดีกลับมาเป็นปกติ เล่นร่าเริง เรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันเป็นอาชีพที่ค่อนข้างเจ๋งดี และก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็ด้วยความที่ชอบสารคดีสัตว์โลกด้วย เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นสัตวแพทย์
Q : เคสที่จำไม่ลืมกับประสบการณ์เป็นสัตวแพทย์
A : มีสมัยเรียน จะเป็นตอนที่เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ ตอนนั้นเป็นช่วงพักเที่ยง และก็แบบว่ามีน้องหมาวิ่งมา เขามารออยู่ที่วอร์ดนั่นแหละ และน้องหมาเขาดันช็อกไป เราก็นั่งกินข้าวอยู่ เจ้าของเขาก็ร้องไห้วิ่งอุ้มมา เราตอนนั้นเป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เราก็เลยอุ้มน้องหมา อุ้มวิ่งไปให้เขาเพราะเราน่าจะวิ่งเร็วกว่า เราก็วิ่งพาเขาไปที่แผนกฉุกเฉิน และก็ไปให้พี่หมอที่เป็นหมอฉุกเฉินเขาช่วยชีวิต เราก็ยืนช่วยเขา ดูเจ้าของ เขาก็แบบร้องไห้ ดูรักน้องหมาจริงๆ อันนี้เป็นเคสหนึ่งที่จำได้จนถึงทุกวันนี้ มันเคยมีเหตุการณ์นี้นะ ทำให้เรารู้ว่าการเป็นหมอมันต้องพร้อมตลอดเวลา แม้ว่าตอนกินข้าว มันจะมีเคสฉุกเฉินได้ตลอด เราก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมตลอด บางที่ต้องติดอุปกรณ์ไว้ในรถบ้าง อะไรแบบนี้ ถ้าเกิดเราเจอข้างทางมีน้องหมาเป็นอะไรก็ติดอุปกรณ์เบื้องต้นไว้ในรถบ้าง
Q : เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาทำให้เราหดหู่บ้างไหม?
A : ส่วนหนึ่งมันเป็นความชินด้วย และอีกส่วนหนึ่งคิดว่าถ้าเกิดเราต้องมานั่งหดหู่เราก็จะทำอะไรไม่ได้ คนที่ควรจะต้องไม่หดหู่ที่สุดคือเรา หมายถึงว่า ยังไงดี เวลาเจ้าของมาเขาหดหู่อยู่แล้ว ซีเรียสอยู่แล้ว เสียใจอยู่แล้ว เวลาน้องหมาเขาป่วยมากๆ ถ้าเรายิ่งไปหดหู่ เจ้าของเขาจะไว้ใจให้เราดูแลน้องหมาตัวนี้ หรือว่าเราเองต้องเข้มแข็งเพื่อจะไปปลอบเจ้าของ เพื่อจะไปอธิบายกับเจ้าของว่าแบบนี้มันมีโอกาสหายนะ หมอจะทำเต็มที่ หมอจะต้องสร้างความเชื่อมั่นกับเขา ไม่ให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้ การหดหู่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น รู้สึกว่าก็ปล่อยทิ้งไป ปล่อยมันไป
Q : นิยามของ “เน๋ง”
A : เป็นความพยายามแล้วกัน เพราะว่าหลายๆ อย่าง อย่างที่ทุกคนเห็นว่า “เน๋ง” เป็นนักแสดงมา เป็นสัตวแพทย์มา ทุกคนอาจจะเห็นว่าก็ “เน๋ง” ทำได้อยู่แล้วก็เลยทำได้ บางคนอาจจะคิดว่าดูไม่ได้ยากเท่าไร แต่เราก็ใช้ความพยายามอะไรหลายอย่างในการสอบเอนทรานซ์บ้าง ในการเรียน หรือว่าในการพัฒนาความสามารถในด้านการแสดง ทุกอย่างเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องตั้งใจไปเรียนเราก็ตั้งใจได้ ขอให้ทุกคนใฝ่รู้ และพยายามให้มาก ชีวิตก็จะดีเอง